การบังคับคดี
วัตถุประสงค์ของการยึดทรัพย์
- “การบังคับคดี” เป็นมาตรการบังคับหรือกระบวนการที่รัฐบาลดำเนินการโดยใช้อำนาจในการเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ตามกฎหมาย
การอนุญาตใช้คำสั่งบังคับคดี
วัตถุประสงค์ของสิทธิในการยึดทรัพย์
- “สิทธิในการบังคับคดี” หมายถึง สิทธิที่จำเป็นในการเริ่มกระบวนการบังคับคดี หน่วยงานของรัฐอาจให้สิทธิ์ดังกล่าวในรูปแบบคำสั่งเป็นหนังสือที่ระบุถึงการมีและขอบเขตของสิทธิในการยึดทรัพย์ และการให้อำนาจในการใช้สิทธิดังกล่าวได้
· กรณีที่เกี่ยวกับการเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินกู้ ประเภทของสิทธิในการบังคับคดีมีดังต่อไปนี้ (มาตรา 24, 56 และ 291 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
√ คำพิพากษาถีงที่สุดที่เกี่ยวกับการเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินกู้
√ คำพิพากษาถีงที่สุดที่เกี่ยวกับคำสั่งบังคับคดีชั่วคราวที่ออกโดยเห็นชอบกับการเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินกู้
√ คำสั่งให้ชำระเงินที่แน่นอน
√ เอกสารที่ได้รับการรับรองโดยทนายความผู้รับรองเอกสารซึ่งระบุความยินยอมของลูกหนี้ว่าด้วยการบังคับคดีในสิทธิเรียกร้อง ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเงิน สิ่งทดแทน หรือตราสารเปลี่ยนมือได้อื่นๆ ที่คงที่
√ สัญญาที่ผูกพันที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับคำพิพากษาถีงที่สุด เช่น ข้อตกลงในการระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ยโดยศาล หรือหนังสือยอมรับข้อเรียกร้อง
√ คำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราว
การออกเอกสารบังคับคดี
- การบังคับคดีสามารถกระทำได้เฉพาะกับคำตัดสินเดิม (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “เอกสารบังคับคดี”) (มาตรา 28-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· เอกสารบังคับคดีจะต้องออกโดยเจ้าหน้าที่ศาล เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการของศาลในการพิจารณาคดีความตามคำร้องขอ อย่างไรก็ตาม หากบันทึกการดำเนินคดีความถูกเก็บที่ศาลอุทธรณ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการของศาลอุทธรณ์จะออกเอกสารบังคับคดีดังกล่าวนั้น (มาตรา 28-(2) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
ข้อยกเว้นในการออกเอกสารบังคับคดี
- แม้ว่าจะมีการออกเอกสารบังคับคดีนั้นโดยหลักการแล้วจำเป็นต้องใช้ในการใช้สิทธิบังคับคดีทั้งหมด เอกสารดังกล่าวไม่จำเป็นต้องใช้หากมีคำสั่งให้ชำระเงินที่แน่นอน คำพิพากษาถีงที่สุดในรูปแบบข้อเสนอแนะโดยการไกล่เกลี่ยโดยศาล หรือคำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราว (มาตรา 58-(1) และ 292 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง; มาตรา 5-8-(1) แห่งรัฐบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีที่มีทุนทรัพย์เล็กน้อย)
กระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สิน
วัตถุประสงค์ของกระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สิน
- “กระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สิน” อาจถูกนำมาใช้โดยเจ้าหนี้ที่ตั้งใจจะบังคับใช้สิทธิในการบังคับคดี ตามกระบวนการนี้ หากเจ้าหนี้ไม่อาจหาทรัพย์สินใดๆ ของลูกหนี้ได้ ศาลอาจสั่งให้ลูกหนี้ยื่นหนังสือรับรองที่รวมบัญชีทรัพย์สินของตน และขอหน่วยงานรัฐหรือสถาบันการเงินให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อตรวจสอบบัญชีนั้น หากลูกหนี้ไม่ปรากฏตัวในวันกำหนดยื่นหรือไม่ยื่นบัญชีหรือ ลูกหนี้จะถูกขึ้นทะเบียนในบัญชีลูกหนี้ผิดนัด
· กระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินประกอบด้วย 3 ส่วน คือ: การเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของลูกหนี้ การตรวจสอบทรัพย์สินและการขึ้นทะเบียนในบัญชีลูกหนี้ผิดนัด
แถลงการณ์สำหรับการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของลูกหนี้
- เจ้าหนี้ที่มีสิทธิเริ่มใช้สิทธิในการบังคับคดีเพื่อการชำระเงิน อาจยื่นคำร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อศาลในที่ตั้งภูมิลําเนาของลูกหนี้ (มาตรา 61-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· การยื่นคำร้องจะต้องเป็นลายลักษณ์อักษรและมีรายการดังต่อไปนี้: ชื่อของเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และตัวแทนทางกฎหมาย (ถ้ามี) จำนวนหนี้ที่ผิดนัด วัตถุประสงค์ของการยื่นคำร้อง และเหตุแห่งการยื่นคำร้อง (มาตรา 25-(1) ของระเบียบของการบังคับคดีแพ่ง)
การยื่นคำร้องขอขี้นทะเบียนบัญชีลูกหนี้ผิดนัด
- ในกรณีที่ภายหลังเจ้าหนี้ได้รับสิทธิในการบังคับคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คืนภายในหก (6) เดือนนับจากวันที่เจ้าหนี้ได้รับสิทธินั้น หรือถ้าลูกหนี้ปฏิเสธที่จะปรากฏตัวต่อศาลโดยปราศจากเหตุอันสมควร หรือปฏิเสธที่กล่าวคำสาบาน หรือถ้าลูกหนี้ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินของตน หรือประพฤติตนไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหนี้อาจยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียนชื่อลูกหนี้ในบัญชีลูกหนี้ผิดนัด (มาตรา 70-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การตรวจสอบทรัพย์สิน
- ศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับกระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินอาจขอโดยคำร้องขอของเจ้าหนี้ให้หน่วยงานรัฐ สถาบันการเงิน หรือองค์กรอื่นๆ ที่ควบคุมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในทรัพย์สินและฐานะทางการเงินของบุคคล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (มาตรา 74 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง):
· กรณีที่ไม่สามารถส่งคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลไปยังลูกหนี้โดยเหตุไม่ทราบที่อยู่แม้ว่าจะเป็นภายหลังที่เจ้าหนี้ได้รับคำสั่งจากศาลให้แก้ไขที่อยู่ของลูกหนี้แล้วก็ตาม
· กรณีที่ทรัพย์สินในบัญชีซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ตามกระบวนการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินนั้นไม่เป็นที่พอใจในการบังคับคดี
· กรณีที่ลูกหนี้ปฏิเสธที่จะปรากฏตัวต่อศาลโดยปราศจากเหตุอันควร หรือให้คำสาบาน หรือกรณีที่ลูกหนี้ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินของตน (เช่น การยื่นบัญชีทรัพย์สินปลอม)
การยึดทรัพย์ของลูกหนี้และการขายทอดตลาด
ประเภทของการบังคับคดี
- การบังคับคดีอาจแบ่งตามวัตถุแห่งการบังคับคดีได้ ดังต่อไปนี้: การบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์ (มาตรา 78 ถึง 171 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) การบังคับคดีกับวัตถุเสมือนอสังหาริมทรัพย์ เช่น เรือ (มาตรา 172 ถึงมาตรา แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) การบังคับคดีกับรถยนต์ เครื่องจักรสำหรับก่อสร้าง หรืออากาศยาน (มาตรา 187 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และการบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมหรือเคลื่อนย้ายได้ (มาตรา 188 ถึง 274 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์
- ศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีโดยคำร้องขอของเจ้าหนี้ให้ดำเนินการตามขั้นตอนในการบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์ (มาตรา 78-(1) และ 79 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
- การบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์จะมีผลโดยวิธีการขายทอดตลาดหรือการดำเนินการบังคับคดี (มาตรา 78-(2) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· “การขายทอดตลาด” เป็นการประมูลที่มีผลในกระบวนการบังคับคดี ขั้นตอนการขายทอดตลาด มีดังนี้: ① เริ่มการขายททอดตลาด (มาตรา 83 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ② จัดเตรียมการขายทอดตลาด (มาตรา 84 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ③ออกประกาศเกี่ยวกับวันที่กำหนดขายทอดตลาด (มาตรา 72 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ④ เริ่มกระบวนการขายทอดตลาด (มาตรา 72 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ⑤ รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด (มาตรา 142 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และ ⑥ การจำหน่ายทรัพย์ (มาตรา 145 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· ด้วย “การดำเนินการบังคับคดี” ศาลจะมีคำสั่งห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการแทรกแซงการดำเนินการบังคับคดีและการจำหน่ายกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ และจะสั่งให้จ่ายผลกำไรนั้นแก่เจ้าหนี้เพื่อชดใช้หนี้ กระบวนการดำเนินการบังคับคดี มีดังนี้ ① คำสั่งเริ่มการดำเนินการบังคับคดี (มาตรา 164 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และ ② การจำหน่ายทรัพย์ (มาตรา 169 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· การยื่นคำร้องขอบังคับคดีหรือการดำเนินการบังคับคดีให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร และเจ้าหนี้จะต้องกรอกแบบคำร้องพร้อมรายละเอียดของเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทรัพย์สินหลัก จำนวนหนี้ และเหตุแห่งการยื่นคำร้องใดๆ รวมถึงสิทธิในการบังคับคดี (มาตรา 81 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
- นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นสังหาริมทรัพย์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ดังต่อไปนี้ซึ่งสามารถขึ้นทะเบียนจะเป็นวัตถุแห่งการบังคับคดีกับวัตถุเสมือนอสังหาริมทรัพย์: เรือ (มาตรา 172 ถึงมาตรา 186 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) อากาศยาน รถยนต์ หรือเครื่องจักรสำหรับก่อสร้าง (มาตรา 187 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมหรือเคลื่อนย้ายได้
- การบังคับคดียังมีต่อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมหรือลูกหนี้ได้รับจากบุคคลภายนอก (มาตรา 187 ถึง 274 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· กระบวนการบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรมจะเป็นดังต่อไปนี้: ① การยึดทรัพย์ (มาตรา 189 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ② การประมูลหรือขายทอดตลาด (มาตรา 199 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และ ③ การจำหน่ายทรัพย์ (มาตรา 155 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· กระบวนการบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ที่ได้รับจากบุคคลภายนอกจะเป็นดังต่อไปนี้: ① การยึดทรัพย์ (มาตรา 223 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และ ② คำสั่งเรียกเก็บเงินหรือคำสั่งโอนกรรมสิทธิ์ (มาตรา 229 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การชดใช้แก่เจ้าหนี้
การบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์หรือวัตถุเสมือนอสังหาริมทรัพย์
- เจ้าหนี้ดังต่อไปนี้มีสิทธิได้รับการชำระหนี้ในเวลาเดียวกัน: (ก) เจ้าหนี้ที่ดำเนินการประกาศขายทอดตลาดไม่ช้ากว่าระยะเวลาสิ้นสุดของการเรียกร้องให้จำหน่ายทรัพย์ (ข) เจ้าหนี้ที่เรียกร้องให้จำหน่ายทรัพย์ไม่ช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการเรียกร้องให้จำหน่ายทรัพย์ และ (ค) เจ้าหนี้ตามคำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวที่ได้ขึ้นทะเบียนก่อนการลงทะเบียนสำหรับตัดสินใจเข้าร่วมการประมูลครั้งแรก (มาตรา 148 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง; มาตรา 185 ของระเบียบว่าด้วยการบังคับคดีแพ่ง)
- เมื่อการขายทอดตลาดจากการบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ทุกรายที่มีส่วนร่วมในการจำหน่ายทรัพย์ ศาลจะจัดให้มีการจำหน่ายทรัพย์ตามลำดับความสำคัญตามรัฐบัญญัติกฎหมายแพ่ง รัฐบัญญัติกฎหมายพาณิชย์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีนี้จะใช้การบังคับคดีกับวัตถุเสมือนอสังหาริมทรัพย์โดยอนุโลม (มาตรา 145-(2) และ 172 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
· เว้นแต่ค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีซึ่งอยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุด (มาตรา 53-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) ลำดับความสำคัญถัดไปสำหรับจำหน่ายทรัพย์จะเป็นดังต่อไปนี้:
1. การเรียกร้องค่าจ้างสำหรับลูกจ้างแต่ละคนที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน หรือการเรียกร้องค่าชดเชยการเกษียณอายุ/ค่าชดเชยอุบัติเหตุในช่วงสามปีที่ผ่านมา และการเรียกร้องเงินมัดจำจำนวนเล็กน้อยที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพื่อการอยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์
2. ภาษีและค่าธรรมเนียมสาธารณะที่เรียกเก็บจากทรัพย์สิน
3. ภาษีทั่วไปที่มีสิทธิเหนือกว่าสิทธิที่มีหลักประกันใดๆ
4. การเรียกร้องจากการจำนอง การเรียกร้องที่มีประกันโดยการจดทะเบียนชั่วคราว ชอนเซกวอน (สิทธิในสัญญาเช่าโดยการวางเงินประกันที่จดทะเบียน) หรือสิทธิการเช่าที่ลงทะเบียน การเรียกร้องค่าสิทธิการเช่าที่มีการรับรองวันที่แน่นอนสำหรับเงินมัดจำจำนวนเล็กน้อยที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพื่อการอยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหลังหักภาษีที่ครบกำหนดตามกฎหมายแล้ว
5. ค่าจ้าง ค่าชดเชยการเกษียณอายุ ค่าชดเชยอุบัติเหตุ หรือการเรียกร้องอื่นใดที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางด้านการจ้างแรงงาน
6. ภาษีใดๆ ที่ครบกำหนดหลังจากการจำนอง หรือชอนเซกวอน (สิทธิในสัญญาเช่าโดยการวางเงินประกันที่จดทะเบียน) ที่ได้เกิดขึ้น
7. การเรียกร้องสำหรับประกันสุขภาพ ประกันบำนาญ ประกันการจ้างงาน หรือประกันชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม และ
8. การเรียกร้องทั่วไป
※ในฐานะสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินกู้ก่อให้เกิดการเรียกร้องทั่วไป ลำดับความสำคัญจึงเป็นลำดับที่ 8
※ถ้าอสังหาริมทรัพย์อยู่ภายใต้การดำเนินการบังคับคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบังคับคดีกับอสังหาริมทรัพย์จะได้รับชำระเงินคืนจากผลกำไรและภาษีใดๆ และภาษีศุลกากรอื่นๆ ที่เรียกเก็บแก่บรรดาอสังหาริมทรัพย์จะถูกหักออกก่อนการชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ในส่วนที่เหลือของผลกำไร (มาตรา 169-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรม
- เจ้าหนี้สามารถยื่นคำร้องเพื่อบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นรูปธรรม (มาตรา 4 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และกระบวนการดังกล่าวจะต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่บังคับคดีที่ยึดสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้นั้น (มาตรา 189-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
- เจ้าหน้าที่บังคับคดีต้องขายทรัพย์ที่ยึดไว้ในราคาที่เหมาะสม (มาตรา 199 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
- เจ้าหนี้ที่ยื่นคำร้องขอบังคับคดีจะได้รับชำระหนี้โดยการรับเงินที่ได้รับจากการขายทอดตลาด (มาตรา 217 ถึง 221 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
การบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้
- การบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ที่ลูกหนี้ได้รับจากบุคคลภายนอก ในกรณีนี้เจ้าหนี้อาจขอบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ (ตัวอย่างเช่น ถ้า B เป็นหนี้จำนวน 100,000,000 วอนกับ A ในขณะที่ B มีสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับจำนวน 50,000,000 วอนจาก C A อาจจะขอบังคับคดีกับสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว)
- เมื่อยื่นคำร้องขอบังคับคดีตามข้อเรียกร้องทางการเงิน เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษร (มาตรา 4 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง) และไม่ใช่เพียงแต่เจ้าหนี้เท่านั้น ลูกหนี้ บุคคลภายนอก และสิทธิในการบังคับคดีด้วยเช่นกัน (มาตรา 159 ของข้อบังคับว่าด้วยการบังคับคดีแพ่ง) แต่จะต้องระบุประเภทและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์ไว้ในแบบคำร้อง (มาตรา 225 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
- การขายทอดตลาดและการชำระเงินจากการขายทอดตลาดจะกระทำโดยคำสั่งเรียกเก็บเงินและคำสั่งโอนกรรมสิทธิ์
※หากศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้เรียกเก็บหนี้ เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ถูกยึดจากลูกหนี้บุคคลภายนอก ในกรณีนี้เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อศาลเกี่ยวกับใบเสร็จเมื่อได้รับชําระหนี้แล้ว (มาตรา 236-(1) แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
※ในกรณีที่
คำสั่งโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่สิ้นสุดแล้วให้ถือว่าลูกหนี้ได้ชำระหนี้ของตนเมื่อได้มีคำสั่งโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกหนี้บุคคลภายนอกแล้ว (มาตรา 231 แห่งรัฐบัญญัติบังคับคดีแพ่ง)
※ท่านสามารถดูแบบหนังสือที่เกี่ยวข้องได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ Korea Legal Aid Corporation-> ข้อมูลทางกฎหมาย -> แบบหนังสือทางกฎหมาย