สรุปกระบวนการทางแพ่ง ฯลฯ
สรุปกระบวนการทางแพ่ง ฯลฯ
- กรณีที่ตกลงไกล่เกลี่ยกันไม่สำเร็จ ในเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยระหว่างเหยื่อและผู้ก่อเหตุคดีความรุนแรงหรือการบาดเจ็บ ในกรณีนี้ เหยื่ออาจยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยทางแพ่ง, ยื่นฟ้องคดีมโนสาเร่ หรือดำเนินการทางแพ่งเพื่อขอรับเงินในส่วนดังกล่าว
※ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทางแพ่งจะไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป เมื่อเหยื่อและผู้ก่อเหตุตกลงกันได้ในเรื่องค่าชดเชยของเหยื่อ หากเหยื่อดำเนินการตามกระบวนการทางแพ่งทั้งๆ ที่ตนเองได้รับเงินจากการไกล่เกลี่ยไปแล้ว ผู้ก่อเหตุอาจตอบโต้โดยใช้หลักฐานเป็นสัญญาข้อตกลงไกล่เกลี่ยดังกล่าว
- ในกรณีที่ผู้ก่อเหตุปฏิเสธที่จะให้ค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยแก่เหยื่อ ถึงแม้ว่า สิทธิเรียกร้องของเหยื่อจะได้รับการรับรองในการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง, คดีมโนสาเร่หรือกระบวนการทางแพ่งแล้ว ในกรณีนี้ อาจมีการบังคับให้ดำเนินการตามที่กำหนดได้
การไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
ความสำคัญของการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
- การไกล่เกลี่ยทางแพ่งหมายถึง การดำเนินการของผู้พิพากษาหรือคณะกรรมการประนีประนอมยอมความซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยศาล เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องของคู่พิพาท ทบทวนเรื่องต่างๆ รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังช่วยจัดการและประนีประนอมระหว่างคู่กรณีเพื่อไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท การไกล่เกลี่ยทางแพ่งสามารถระงับข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็วและสะดวก (มาตรา 1 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
- กำหนดเส้นตายของการประนีประนอมทางแพ่งจะถูกกำหนดทันทีหลังจากการยื่นเรื่อง ดังนั้น คดีที่มีการประนีประนอมยอมความโดยทั่วไปจะสิ้นสุดภายในระยะเวลาที่กำหนดเพียงครั้งเดียวและไม่ยืดเยื้อ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจะต่ำกว่าขั้นตอนทางกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ
ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
- การยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
· การไกล่เกลี่ยทางแพ่งเริ่มต้นเมื่อฝ่ายที่มีข้อพิพาทได้ยื่นคำร้องต่อศาล หรือผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีได้ส่งต่อคดีเพื่อดำเนินการไกล่เกลี่ย (มาตรา 2 และ 6 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
· การไกล่เกลี่ยทางแพ่งอาจดำเนินการเป็นลายลักษณ์อักษรหรือตกลงกันโดยวาจาก็ได้ (มาตรา 5 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
- การแจ้งกำหนดเวลาการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
· จะมีการแจ้งกำหนดเวลาในการไกล่เกลี่ยไปยังฝ่ายที่มีข้อพิพาท เมื่อมีการยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยทางแพ่ง (มาตรา 15 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
· ฝ่ายที่มีข้อพิพาทจะต้องมาปรากฏตัวก่อนวันที่ครบกำหนดการไกล่เกลี่ย เพื่อให้การต่อหน้าผู้พิพากษาที่รับผิดชอบการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง อย่างไรก็ตาม หากเกิดกรณีพิเศษที่ไม่คาดคิด คู่กรณีที่มีข้อพิพาทกันอาจขอให้ตัวแทนทางกฎหมายหรือผู้ช่วยของตนมาปรากฏตัว โดยต้องได้รับอนุมัติจากผู้พิพากษาที่รับผิดชอบในการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง (มาตรา 6 วรรค 1 「ของระเบียบการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
- ประสิทธิผลของการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
· การไกล่เกลี่ยจะมีผล หลังจากที่คู่กรณีบรรลุข้อตกลงและเตรียมดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาท (มาตรา 28 「ของระเบียบการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
· ในขณะเดียวกัน ศาลอาจพิจารณาบังคับใช้มาตรการแทนการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง ในกรณีต่อไปนี้: ① หากผู้ถูกร้องไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าศาล ② หากคู่กรณีล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลง หรือ ③ หากศาลพิจารณาว่าเนื้อหาของข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างคู่กรณีไม่เหมาะสม (มาตรา 30 และ 32 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
ประสิทธิผลของการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง
- การไกล่เกลี่ยทางแพ่งระหว่างคู่กรณีถือว่า มีผลบังคับใช้เท่ากับการประนีประนอมในการพิจารณาคดี (「มาตรา 29 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
- กรณีต่อไปนี้ถือว่า มีผลบังคับใช้เท่ากับการประนีประนอมระหว่างคู่กรณีในการพิจารณาคดี หลังจากที่พวกเขาได้รับคำพิพากษาตัดสินเป็นลายลักษณ์อักษรแทนที่การไกล่เกลี่ย: ① หากคู่กรณีไม่ยื่นคำคัดค้านภายในสองสัปดาห์ ② หากคำคัดค้านที่ยื่นมาถูกยกเลิกหรือ ③ หากคำคัดค้านที่ยื่นมาถูกเพิกถอนออกไป (มาตรา 34 วรรค 4 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
※ ประสิทธิผลของการประนีประนอมในชั้นศาล
ตามมาตรา 220 ของ「พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」 การประนีประนอมในการพิจารณาคดีจะมีผลเทียบเท่ากับคำพิพากษาที่สิ้นสุด ประเด็นนี้ส่งผลให้มี “อำนาจบังคับ” ในการแสดงสิทธิผ่านขั้นตอนการบังคับคดี หากยังไม่มีคำตัดสินประนีประนอมออกมา อาจมีการแสดงสิทธิได้ด้วยวิธีบังคับคดี (ทางอ้อม) โดยการใช้เอกสารชี้แจงการประเมินการไกล่เกลี่ยในฐานะของใบแจ้งหนี้ (「อ้างอิงส่วนที่สองของพระราชบัญญัติบังคับคดีแพ่ง」)
- ในขณะเดียวกัน จะเริ่มกระบวนการฟ้องคดีใหม่ (มาตรา 36 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」) หากพิจารณาแล้วว่าต้องยื่นฟ้องคดีใหม่ ในกรณีต่อไปนี้: ① หากมีการตัดสินว่าการไกล่เกลี่ยถูกยกเลิก (มาตรา 26 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」) ② หากสรุปได้ว่าข้อไกล่เกลี่ยไม่ถูกต้องสมบูรณ์ (มาตรา 27 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」) หรือ ③ หากมีการยื่นคำร้องคัดค้านภายในสองสัปดาห์ เกี่ยวกับเรื่องการตัดสินใจเปลี่ยนข้อไกล่เกลี่ย (มาตรา 34 「ของพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง」)
การพิจารณาคดีมโนสาเร่
คำจำกัดความของการพิจารณาคดีมโนสาเร่
- “การพิจารณาคดีมโนสาเร่” หมายถึง ระบบในการยื่นฟ้องและดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนเล็กน้อย ซึ่งดำเนินการได้ง่ายกว่าคดีแพ่งอื่นๆ
ขอบเขตของคดีมโนสาเร่
- คดีมโนสาเร่หมายถึง การพิจารณาคดีแพ่งเป็นครั้งแรกซึ่งดำเนินการในศาลแขวงหรือคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากศาลแขวง โดยมีจำนวนเงินที่เรียกร้องน้อยกว่า 30 ล้านวอนหรือเรียกร้องให้ชำระเป็นเงินทดแทน, หุ้น หรือพันธบัตรในจำนวนที่เท่ากัน (มาตรา 2 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」 และตัวบทหลักของมาตรา 1-2 「ของระเบียบการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
ขั้นตอนของการพิจารณาคดีมโนสาเร่
- การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีมโนสาเร่
· เหยื่ออาจยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีมโนสาเร่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือกล่าวโดยวาจา หากมีความประสงค์เช่นนั้น (มาตรา 4 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่และมาตรา」 3 「ของระเบียบการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
※ โจทก์หมายถึง บุคคลที่ยื่นฟ้องคดีมโนสาเร่ และจำเลยหมายถึง คู่กรณีของโจทก์นั้น
- แนะนำให้จำเลยปฏิบัติตามคำร้อง
· หากโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลจะแนะนำให้จำเลยดำเนินการตามความต้องการของโจทก์ โดยแนบสำเนาคำร้องหรือสำเนารายงานการยื่นฟ้องที่ผ่านการรับรองแล้ว (ตัวบทหลักของมาตรา 5-3 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
· หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำที่ให้ปฏิบัติตามคำเรียกร้อง การพิจารณาคดีมโนสาเร่ดังกล่าวจะดำเนินการในวันที่กำหนดเพื่อการแก้ต่าง (มาตรา 5-4 วรรค 1 และ 3 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
※ ในกรณีต่อไปนี้ การตัดสินแนะนำให้ปฏิบัติตามคำเรียกร้องจะมีผลบังคับใช้เท่ากับคำพิพากษาเป็นที่สุด: ① หากจำเลยไม่คัดค้านภายในระยะเวลาที่กำหนด ② หากการเพิกถอนคำคัดค้านได้รับการยืนยันแล้วหรือ ③ หากคำคัดค้านถูกยกฟ้อง (มาตรา 5-7 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
- การดำเนินการคัดค้าน
· โดยทั่วไป กระบวนการแก้ต่างจะจัดขึ้นเพียงครั้งเดียว ผู้พิพากษาจะตรวจสอบหลักฐานและสอบปากคำพยาน โดยอาศัยอำนาจอย่างเป็นทางการของเขา/เธอ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าสมเหตุสมผล ผู้พิพากษาอาจขอให้ส่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรแทนที่จะมีการพิจารณาคดีในชั้นศาล (มาตรา 7 วรรค 2 และมาตรา 10 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
- การประกาศคำพิพากษา
· คำพิพากษาจะถูกประกาศหลังจากกระบวนการแก้ต่างเสร็จสิ้น (มาตรา 11-2 「ของพระราชบัญญัติการพิจารณาคดีมโนสาเร่」)
กระบวนการทางแพ่ง
คำจำกัดความของกระบวนการทางแพ่ง
- ในกรณีที่เหยื่อไม่ได้รับมาตรการบรรเทาทุกข์จากความเสียหายของเขา/เธอ โดยการไกล่เกลี่ย, การประนีประนอม, การพิจารณาคดีมโนสาเร่ ฯลฯ ในกรณีนี้ เหยื่ออาจยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเป็นที่พึ่งสุดท้าย
กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง
- การยื่นคำร้อง
·ฝ่ายที่ประสงค์จะระงับข้อพิพาทต้องเตรียมคำร้องและยื่นเรื่องต่อศาล (มาตรา248 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」วรรค1)
· ในกรณีที่จำนวนอากรแสตมป์ที่ติดหรือชำระในคำฟ้องน้อยกว่าจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อย่อยของ「พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ในวิธีพิจารณาความแพ่ง」มาตรา 13(2) ศาลอาจเลื่อนรับคำฟ้องได้และเมื่อศาลรับคำฟ้องที่ส่งให้แล้ว ให้ถือว่าได้ฟ้องคดีนั้นแล้ว ณเวลาที่ยื่นคำฟ้อง (มาตรา 248 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」วรรค 2 และ 3)
※ โจทก์หมายถึง บุคคลที่ยื่นฟ้องคดีแพ่ง และจำเลยหมายถึง คู่กรณีของโจทก์
- การส่งสำเนาคำร้องอย่างเป็นทางการและการส่งคำตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษร
· หลังจากที่ได้รับคำร้องแล้ว ศาลจะจัดส่งสำเนาคำร้องอย่างเป็นทางการให้จำเลย และให้จำเลยส่งคำตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษร ภายใน 30 วันหลังจากมีการจัดส่งเอกสารดังกล่าว (มาตรา 255 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งและตัวบทหลักของมาตรา」 256 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
· หากจำเลยไม่ส่งคำตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษรหรือคำตอบรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษร คดีจะสิ้นสุดลงตามคำร้องของโจทก์ (มาตรา 257 วรรค 1 และ 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
· หากจำเลยส่งคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร โดยปฏิเสธคำร้องที่โจทก์เป็นผู้อ้างสิทธิ กระบวนการเตรียมคดีจะเริ่มต้นขึ้น (มาตรา 256 วรรค 4 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
- การดำเนินการเตรียมคดีสำหรับการโต้แย้งด้วยวาจา
· ในช่วงระยะเวลาของการดำเนินการเตรียมคดี จำเลยจะยื่นคำตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษร และโจทก์ก็จะดำเนินการโต้แย้งต่อคำตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษรดังกล่าว โดยเตรียมข้อความหักล้างเป็นลายลักษณ์อักษร (มาตรา 280 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
· นอกจากนี้ การตรวจสอบหลักฐานต้องแล้วเสร็จก่อนวันครบกำหนดในการแก้ต่าง เช่น ต้องมีการเตรียมคำหักล้างเป็นลายลักษณ์อักษร, การยื่นหลักฐาน, การยื่นคำร้องขอเป็นพยาน, การเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ/วินิจฉัย เป็นต้น (มาตรา 282 วรรค 4 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
- วันที่ครบกำหนดสำหรับเตรียมการแก้ต่าง
· ในกรณีที่การต่อสู้คดีเป็นลายลักษณ์อักษรขั้นพื้นฐานเสร็จสิ้น ผ่านขั้นตอนเตรียมการแก้ต่างแล้ว หากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตัดสินว่า ได้มีการส่งข้อมูลหลักฐานมาครบทั้งหมดแล้ว และมีการเน้นย้ำประเด็นปัญหาที่แท้จริงผ่านการตรวจสอบบันทึกคดี เขา/เธอก็จะกำหนดวันเตรียมสรุปประเด็นปัญหาสำหรับข้อพิพาทดังกล่าวได้ (วันที่เตรียมการแก้ต่าง) (อ้างอิง มาตรา 282 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
- วันที่แก้ต่าง
· ในวันที่แก้ต่างต่อสู้คดีหลัก (วันที่จะมีการตรวจสอบหลักฐานอย่างเข้มข้น) โจทก์และจำเลย รวมถึงพยานของพวกเขาจะถูกสอบสวน โดยเน้นไปที่ประเด็นข้อพิพาทซึ่งได้รวบรวมข้อมูลในวันที่มีการเตรียมสรุปประเด็นปัญหาดังกล่าว จากนั้นไม่นาน คำพิพากษาตัดสินก็จะถูกประกาศหลังจากการสอบสวน (มาตรา 287 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
ประสิทธิผลของวิธีพิจารณาความแพ่ง
- คำตัดสินจะได้รับการยืนยัน หากฝ่ายที่พ่ายแพ้ไม่คัดค้าน
- ในกรณีที่ฝ่ายพ่ายแพ้คัดค้านคำตัดสินที่มีการประกาศออกมา ในกรณีนี้ ฝ่ายดังกล่าวจะต้องยื่นอุทธรณ์เป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาล ภายในสองสัปดาห์หลังจากที่มีการประกาศออกมา (มาตรา 396 และ 408 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง
- ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการทำคดีความ
· โดยหลักการแล้ว ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินคดีความ ซึ่งรวมถึงค่าอากรแสตมป์ ค่าขนส่ง ค่าเดินทาง ค่าจ้างรายวัน ค่าที่พักของพยานและผู้เชี่ยวชาญ ค่าทนายความ ฯลฯ (มาตรา 98 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
· อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คู่กรณีอีกฝ่ายไม่สามารถส่งข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้, มาปรากฏตัวตามเวลาที่กำหนด หรือเกิดการดำเนินคดีล่าช้าเนื่องจากคู่กรณีดังกล่าว ในกรณีนี้ ฝ่ายที่ชนะจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนหรือทั้งหมดในการดำเนินคดีความ (มาตรา 99 ถึง 102 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
- ค่าทนายความที่คำนวณออกมาถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี
· ค่าทนายความที่จ่ายหรือชำระโดยคู่กรณี (ต่อไปนี้เรียกว่า "ค่าทนายความ") จะถูกคำนวณรวมเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามเกณฑ์ค่าตอบแทน (ตารางที่แนบมาเกี่ยวกับ「ระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」) ตามมูลค่าที่มีการเรียกร้อง ถึงแม้ว่าคู่กรณีจะชนะคดี แต่ก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกินมาจากค่าทนายความที่ถูกคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี (มาตรา 109 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งและมาตรา」 3 วรรค 1 「ของระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」)
· แม้ว่าจะมีทนายความหลายคนที่ให้การช่วยเหลือแก้ต่างให้คู่กรณีบนชั้นศาล แต่จะคำนวณค่าทนายความซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องจากทนายความเพียงคนเดียวเท่านั้น (มาตรา 109 วรรค 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง」)
· ค่าทนายความที่ถูกคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีมีค่าเท่ากับ 1/2 ของค่าใช้จ่ายที่คำนวณออกมาภายใต้「ระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」 ตามมูลค่าที่เรียกร้องภายในขอบเขตของการชำระค่าตอบแทน ในกรณีดังต่อไปนี้ หากคดีถูกตัดสินออกมาโดยที่มีหรือไม่มีข้อโต้แย้งหรือข้อแก้ต่างก็ตาม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมบูรณ์ หรือหากมีคำแนะนำให้จำเลยดำเนินการตามข้อเรียกร้อง (มาตรา 5 「ของระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」)
· ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมทนายความเต็มจำนวนซึ่งคำนวณออกมาเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายของคดีความ ในกรณีนี้ ศาลจะลดจำนวนเงินส่วนนี้ลงอย่างมาก (มาตรา 6 วรรค 1 「ของระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」)
· ในกรณีที่ศาลพิจารณาว่า ค่าธรรมเนียมทนายความที่คำนวณเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีต่ำมากเกินไป เมื่อเทียบกับความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องแต่งตั้งตัวแทนทางกฎหมายเนื่องจากลักษณะของคดีความ, ค่าทนายความที่คู่กรณีจ่ายจริง ฯลฯ ในกรณีนี้ ศาลอาจเพิ่มจำนวนเงินค่าตอบแทนได้สูงสุดถึง 1/2 ของค่าทนายความข้างต้น หากคู่กรณีมีการร้องขอ (มาตรา 6 วรรค 2 「ของระเบียบว่าด้วยการคำนวณค่าธรรมเนียมทางกฎหมายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี」)