ประเภทและเนื้อหาของมาตรการที่ไม่ฟ้อง
"มาตรการที่ไม่ฟ้อง" หมายถึงอะไร ?
- พนักงานอัยการใช้ “มาตรการที่ไม่ฟ้อง” เมื่อเขา/เธอตัดสินใจไม่ยื่นฟ้องในนามของภาครัฐ ประเภทของมาตรการไม่ฟ้องหมายรวมถึง การระงับคำฟ้อง, การปราศจากข้อสงสัยในการกระทำผิด, การเป็นผู้บริสุทธิ์, ไม่มีสิทธิในการฟ้องร้อง หรือการยกฟ้อง (ศัพท์ทางกฎหมายและคดีต่างๆ ที่รวบรวมโดย Ministry of Government Legislation และสถาบันวิจัยกฎหมายแห่งเกาหลี, 2003)
การระงับคำฟ้อง
- หากปรากฎว่า ผู้ต้องสงสัยได้ก่ออาชญากรรมที่น่าสงสัย แต่เหตุการณ์ต่อไปนี้ส่งผลให้ไม่จำเป็นที่ต้องมีการฟ้องร้อง พนักงานอัยการอาจ "ระงับคำฟ้อง" (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 1 ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดีและมาตรา 51 「ของพระราชบัญญัติอาญา」)
· อายุ บุคลิกภาพ ความประพฤติ สติปัญญา และสภาพแวดล้อมของอาชญากร
· ความสัมพันธ์กับเหยื่อ
· แรงจูงใจ วิธีการ และผลลัพธ์ของอาชญากรรม
· สถานการณ์หลังการก่อเหตุอาชญากรรม
- ในกรณีที่อัยการระงับคำฟ้องของคดี นอกเสียจากความผิดเล็กน้อย อัยการต้องอบรมผู้ต้องสงสัยอย่างเข้มงวดและให้เขา/เธอเขียนคำมั่นว่าจะปรับปรุงอุปนิสัยเสียใหม่ (มาตรา 71 วรรค 1 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
- สำหรับผู้ต้องสงสัยที่เป็นเด็กและเยาวชน อัยการจะใช้มาตรการในการชี้แนะและคุ้มครองเมื่อมีการ “ระงับคำฟ้องเพื่อให้คำแนะนำ” (มาตรา 71 วรรค 3 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
ไม่มีการชะลอฟ้อง
- ไม่มีการชะลอฟ้อง (ไม่ถือเป็นอาชญากรรม)
· หากการกระทำของผู้ต้องสงสัยไม่ได้รับการจัดประเภทเป็นอาชญากรรมหรือไม่ยอมรับว่าเป็นอาชญากรรม อัยการจะสรุปให้เป็นคดีที่ "ไม่มีการชะลอฟ้อง (ไม่ถือเป็นอาชญากรรม)" (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 2 รายการ A 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
- ไม่มีการชะลอฟ้อง (หลักฐานไม่เพียงพอ)
· หากไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุได้ว่า ผู้ต้องสงสัยได้ก่ออาชญากรรมจริง พนักงานอัยการจะสรุปให้เป็นคดีที่ “ไม่มีการชะลอฟ้อง (หลักฐานไม่เพียงพอ)” (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 2 รายการ B 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
- หากอัยการสรุปคดีอาญาที่มีการกล่าวหาหรือแจ้งความให้เป็นคดีที่ "ไม่มีการชะลอฟ้อง" เขา/เธอจะต้องพิจารณาว่า ผู้กล่าวหาหรือผู้แจ้งข้อมูลมีความบริสุทธิ์ใจในการกล่าวหาหรือไม่ (มาตรา 70 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
ไม่ครบองค์ประกอบในฐานะอาชญากรรม
- ในกรณีที่การกระทำของผู้ต้องสงสัยเข้าข่ายว่าเป็นองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดอาชญากรรม แต่มีเหตุผลทางกฎหมายที่จะตีความได้ว่า องค์ประกอบดังกล่าวยังไม่เป็นอาชญากรรมโดยสมบูรณ์ ในกรณีนี้ อัยการจะสรุปคดีว่า “ไม่ครบองค์ประกอบในฐานะอาชญากรรม” (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 3 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง
- หากคดีอยู่ภายใต้เงื่อนไขของวรรคใดๆ ด้านล่างนี้ พนักงานอัยการจะสรุปคดีว่า "ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง" (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 4 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
· หากคำพิพากษาของศาลเป็นที่สิ้นสุด
· หากมีการแจ้งว่าจำหน่ายคดีแล้ว
· หากยืนยันการจำหน่ายเพื่อการคุ้มครองแล้ว (ยกเว้นคดีที่ยกเลิกการจำหน่ายเพื่อการคุ้มครองซึ่งถูกส่งต่อไปยังสำนักงานอัยการ) ภายใต้「พระราชบัญญัติเยาวชน」, 「พระราชบัญญัติคดีพิเศษเกี่ยวกับบทลงโทษ ฯลฯ สำหรับอาชญากรรมความรุนแรงในครอบครัว」, 「พระราชบัญญัติว่าด้วยการปกป้องและคุ้มครองการค้าประเวณี ฯลฯ สำหรับเหยื่อ หรือพระราชบัญญัติคดีพิเศษเกี่ยวกับบทลงโทษ ฯลฯ สำหรับอาชญากรรมการทารุณกรรมเด็ก」
· หากได้รับการนิรโทษกรรม
· หากอายุความในการดำเนินคดีโดยภาครัฐสิ้นสุดแล้ว
· หากบทลงโทษถูกยกเลิกหลังจากสิ้นสุดคดีอาญา เนื่องจากการแก้ไขหรือการยกเลิกกฎหมาย
· หากได้รับการยกเว้นโทษตามกฎหมาย
· หากไม่มีเขตอำนาจศาลที่จะบังคับใช้อำนาจเหนือผู้ต้องสงสัยได้
· หากมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีเดียวกันไปแล้ว (อย่างไรก็ตาม คดีอาจถูกฟ้องร้องเพิ่มได้หากพบหลักฐานสำคัญอื่นๆ)
· หากการฟ้องคดีเดียวกันถูกฟ้องหรือถูกยกเลิกไปแล้ว (อย่างไรก็ตาม คดีอาจถูกฟ้องร้องเพิ่มได้หากพบหลักฐานสำคัญอื่นๆ)
· หากยังไม่มีการกล่าวหาหรือแจ้งความใดๆ เลย หรือหากข้อกล่าวหาหรือการแจ้งความที่เคยเกิดขึ้นได้ถูกยกเลิกหรือทำให้เป็นโมฆะ สำหรับคดีอาชญากรรมที่มีการร้องเรียนจากเหยื่อหรือมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ของรัฐมาก่อน
· สำหรับกรณีที่ไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาเนื่องจากมีผู้คัดค้าน หากเหยื่อแสดงเจตนาจะไม่เอาโทษกับผู้ก่อเหตุ หรือเจตนาของเหยื่อในการลงโทษผู้ก่อเหตุได้ถูกเพิกถอนแล้ว
· หากผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตแล้ว หรือหากนิติบุคคล (ผู้ต้องสงสัย) ไม่มีชีวิตอีกต่อไป
การเพิกถอนคดี
- หากคดีเข้าข่ายในเงื่อนไขในวรรคใดๆ ด้านล่างนี้ พนักงานอัยการจะสรุปคดีว่า “ถูกเพิกถอน” (มาตรา 69 วรรค 3 อนุวรรค 5 「ของระเบียบว่าด้วยงานฟ้องร้องดำเนินคดี」)
· หากคำให้การของผู้กล่าวหาหรือผู้ให้ข้อมูลหรือคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรมีการระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องสงสัยอยู่ในสถานะ "ไม่มีการชะลอฟ้อง" หรือคดี "ไม่ครบองค์ประกอบของคดีอาชญากรรม"
· หากบุคคลใดกล่าวหาหรือแจ้งความต่อบุพการีของตัวเองหรือคู่สมรสของเขา/เธอ (มาตรา 224 และ 235 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· หากบุคคลใดยื่นข้อกล่าวหาซ้ำอีกครั้งในคดีที่เคยถูกถอนฟ้องไปแล้ว (มาตรา 232 วรรค 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· หากอัยการสรุปว่า “ไม่ฟ้อง” ในคดีเดียวกัน (อย่างไรก็ตาม คดีจะไม่ถูกเพิกถอน หากผู้กล่าวหาหรือผู้ให้ข้อมูลพบหลักฐานสำคัญใหม่และขอคำอธิบายสำหรับประเด็นนั้น)
· หากถูกกล่าวหาโดยบุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้มีสิทธิยื่นเรื่องร้องเรียน
· หากผู้กล่าวหาหรือผู้ให้ข้อมูลปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำขอให้มาพบเจ้าหน้าที่ หลังจากที่ได้ยื่นคำร้องหรือยื่นข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือหากผู้กล่าวหาหรือผู้ให้ข้อมูลหายตัวไปและไม่สามารถให้การได้
· หากพิจารณาแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกแจ้งความมีส่วนรับผิดชอบเล็กน้อยในคดี เมื่อพิจารณาถึงความร้ายแรงและรายละเอียดของคดีที่ถูกกล่าวหา/แจ้งความ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถูกกล่าวหา/ถูกแจ้งความกับบุคคลผู้กล่าวหาและแจ้งความ นอกจากนี้ ยังใช้ได้กับกรณีที่มีผลประโยชน์สาธารณะเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ไม่ควรค่าแก่การสอบสวนและดำเนินการ จึงพิจารณาได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวน
· หากไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมเพียงพอที่จะเริ่มดำเนินการสอบสวน ตัวอย่างมากมาย เช่น รายงานของสื่อที่ขาดความถูกต้อง, ข้อมูลเนื้อหาจากอินเทอร์เน็ต, โพสต์บนเว็บไซต์, รายงานจากบุคคลที่ไม่มีตัวตน, ข้อความหรือคำบอกเล่าจากบุคคลที่สามซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีที่มีการรายงาน หรือหากผู้ให้ข้อมูลเพียงแค่รู้สึกสงสัย แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันในสมมติฐานของตนแต่อย่างใด
การยื่นคำร้องเพื่อขอวินิจฉัยเรื่องการไม่ฟ้องคดี
คำจำกัดความของการยื่นคำร้องเพื่อขอวินิจฉัย
- ในกรณีที่ผู้กล่าวหาได้รับแจ้งจากอัยการ เรื่องการจำหน่ายคดีเนื่องจากการตัดสินใจไม่ฟ้องของเขา/เธอ ในกรณีนี้ ผู้มีสิทธิยื่นร้องเรียนอาจยื่นคำร้องต่อศาลสูงที่มีอำนาจศาลเหนือสำนักงานอัยการเขตซึ่งพนักงานอัยการดังกล่าวสังกัดอยู่ เพื่อตัดสินว่าคำตัดสินของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้องนั้นถูกหรือผิด กระบวนการนี้เรียกว่า “การยื่นคำร้องเพื่อพิจารณาคดี” (อ้างอิงมาตรา 260 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
หลักการพิจารณาก่อนยื่นอุทธรณ์ ภายใต้「พระราชบัญญัติสำนักงานอัยการ」
- หากไม่เข้าข่ายกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องจะได้รับอนุมัติสำหรับกระบวนการยื่นอุทธรณ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 10 ของ「พระราชบัญญัติสำนักงานอัยการ」 (มาตรา 260 วรรค 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· หากผู้มีสิทธิยื่นร้องเรียนได้รับแจ้งไปแล้วว่า จะไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับศาลในขั้นที่สูงกว่าอีกต่อไป หลังจากที่ได้มีการสอบสวนซ้ำอีกครั้งหลังการอุทธรณ์
· หากผ่านไปสามเดือนหลังการยื่นอุทธรณ์ โดยไม่มีมาตรการใดๆ ในการอุทธรณ์ปรากฏออกมา
· หากพนักงานอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันก่อนครบกำหนดอายุความดำเนินคดีโดยภาครัฐ
- การยื่นอุทธรณ์ตามมาตรา 10 ของ「พระราชบัญญัติสำนักงานอัยการ」
· ในกรณีที่ผู้กล่าวหาคัดค้านคำตัดสินไม่ฟ้องของอัยการ เมื่อนั้น ผู้กล่าวหาอาจไปที่สำนักงานอัยการเขตที่พนักงานอัยการดังกล่าวสังกัดอยู่หรือสำนักงานสาขา เพื่อยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อผู้อำนวยการศาลสูงที่มีอำนาจ หากพนักงานอัยการที่ทำงานในสำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขาที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การอุทธรณ์นั้นสมเหตุสมผล ก็จะดำเนินการแก้ไขคำสั่งการไม่ฟ้องคดีที่ออกมาก่อนหน้า (มาตรา 10 วรรค 1 และ 4 「ของพระราชบัญญัติสำนักงานอัยการ」)
· หากผู้อำนวยการศาลสูงที่มีอำนาจได้พิจารณาว่า การยื่นอุทธรณ์เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เขา/เธออาจสั่งให้พนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขาดำเนินการแก้ไขคำสั่งไม่ฟ้องด้วยตัวของเขา/เธอเอง ในกรณีนี้ ให้ถือว่าผู้อำนวยการศาลสูงมีอำนาจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานอัยการของสำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขา (มาตรา 10 วรรค 2 「ของพระราชบัญญัติสำนักงานอัยการ」)
ระยะเวลาและวิธีการยื่นคำร้องขอวินิจฉัยใหม่
- ในกรณีที่ผู้กล่าวหาได้รับแจ้งจากผู้อำนวยการศาลสูงที่มีอำนาจเกี่ยวกับเรื่องการยกเลิกการยื่นอุทธรณ์สำหรับการจำหน่ายคำสั่งไม่ฟ้อง ในกรณีนี้ ผู้กล่าวหาจะต้องยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอคำวินิจฉัยโดยระบุว่า เหตุใดจึงจำเป็นต้องยื่นฟ้อง โดยแนบหลักฐานอาชญากรรมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ส่งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขา การยื่นคำร้องจะต้องดำเนินการในวันที่ครบกำหนดยื่นเรื่อง ดังต่อไปนี้ (มาตรา 260 วรรค 3 และ 4 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· ภายใน 10 วันหลังจากได้รับแจ้งผลการตัดสินยกเลิกอุทธรณ์
· ภายใน 10 วันหลังจากได้รับแจ้งว่าจะไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับศาลในขั้นที่สูงกว่าอีกต่อไป หลังจากที่ได้มีการสอบสวนซ้ำอีกครั้งหลังยื่นอุทธรณ์
· ภายใน 10 วันหลังจากที่ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วสามเดือน แต่ไม่มีมาตรการใดๆ เกี่ยวกับการอุทธรณ์ปรากฏออกมา
· ภายในหนึ่งวันก่อนครบกำหนดอายุความดำเนินคดีโดยภาครัฐ ในกรณีที่พนักงานอัยการไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันก่อนหมดอายุความได้
การส่งคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอวินิจฉัย
- ในกรณีที่ผู้อำนวยการสำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขาได้รับคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอวินิจฉัยใหม่ เนื่องจากการยกเลิกอุทธรณ์คำสั่งไม่ฟ้อง ในกรณีนี้ ให้สำนักงานอัยการเขตหรือสำนักงานสาขาไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดที่มีอำนาจพร้อมใบคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรดังกล่าว, ความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร, เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน และข้อมูลหลักฐาน เพื่อส่งเอกสารต่างๆ ไปยังศาลสูงที่มีอำนาจภายในเจ็ดวัน หลังได้รับคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษร (ตัวบทหลักของมาตรา 261 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
- ถ้าการอุทธรณ์คำสั่งไม่ฟ้องคดีไม่ถูกเพิกถอนไปเสียก่อน จะต้องดำเนินการยื่นฟ้องทันที หากเห็นว่าการยื่นอุทธรณ์นั้นมีความสมเหตุสมผล หากพิจารณาแล้วว่า คำร้องไม่สมเหตุสมผล คำร้องขอวินิจฉัยใหม่ดังกล่าวจะถูกส่งไปยังศาลสูงที่มีอำนาจภายใน 30 วัน (เงื่อนไขตามมาตรา 261 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
การรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ และการตัดสินคดีในชั้นศาล
- ศาลจะแจ้งว่า ศาลได้รับคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อขอวินิจฉัยแล้ว ภายในสิบวันหลังจากได้รับเอกสารจากผู้ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ศาลจะตัดสินว่าจะยกเลิกคำร้องหรือยื่นฟ้องในนามของภาครัฐ ภายในสามเดือนหลังจากได้รับคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษร (มาตรา 262 วรรค 1 และ 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)