การร้องทุกข์กล่าวโทษหรือการยื่นเรื่องร้องเรียน
คำจำกัดความของการร้องทุกข์กล่าวโทษ/การยื่นเรื่องร้องเรียน
- “การร้องทุกข์กล่าวโทษหรือการยื่นเรื่องร้องเรียน” หมายถึง การที่บุคคลได้แสดงเจตนาของเขา/เธอให้หน่วยงานสอบสวนลงโทษผู้ก่อเหตุ โดยใช้วิธีการรายงาน (ศัพท์ทางกฎหมายและคดีต่างๆ ที่รวบรวมโดย Ministry of Government Legislation และสถาบันวิจัยกฎหมายแห่งเกาหลี,2003)
บุคคลที่มีสิทธิยื่นเรื่องร้องเรียน
- บุคคลที่เข้าข่ายในคดีความรุนแรงหรือการบาดเจ็บใดๆ ต่อไปนี้ มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อหน่วยงานสอบสวน
· เหยื่อ (มาตรา 223 「ของพระราชบัญญัติอาญา」)
· ตัวแทนทางกฎหมายของเหยื่อ (มาตรา 225 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· หากเหยื่อเสียชีวิต จะเป็นคู่สมรส, ญาติที่สืบสายเลือดโดยตรงหรือพี่น้องแท้ๆ ของเหยื่อ (มาตรา225 วรรค 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· ญาติของเหยื่อ ในกรณีที่ตัวแทนทางกฎหมายของเหยื่อหรือญาติของตัวแทนทางกฎหมายของเหยื่อตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง (มาตรา 226 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
- ตัวแทนทางกฎหมายสามารถยื่นคำร้องในนามของเหยื่อได้ (มาตรา 236 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
ขั้นตอนการร้องทุกข์กล่าวโทษ/การยื่นเรื่องร้องเรียน
- บุคคลอาจยื่นคำร้องได้ โดยยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังพนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี หรือเอ่ยโดยวาจาต่อหน้าพนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี ในกรณีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีจะตรวจสอบหนังสือร้องเรียนในทันที และส่งเอกสารกับหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังพนักงานอัยการ (มาตรา 237 วรรค 1 และมาตรา 238 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
- เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีอาจส่งข้อมูลหลักฐาน ใบรับรองแพทย์ ฯลฯ เพื่อพิสูจน์ว่า เหยื่อได้รับความรุนแรงหรือได้รับบาดเจ็บจริง
※ “เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี” หมายถึง รองผู้ช่วยผู้บัญชาการ, ผู้กำกับการอาวุโส, หัวหน้าผู้กำกับการ และนายร้อยตำรวจ “ผู้ช่วยตำรวจฝ่ายคดี” หมายถึงสิบตำรวจเอก, สิบตำรวจโทและนายตำรวจ (มาตรา 197 วรรค 1 และ 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
※ สำหรับตัวอย่างวิธีการกรอกหนังสือร้องเรียน (รายงาน) คลิก [ที่นี่]
※ คำจำกัดความของการร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งกันและกัน
ผู้ก่อเหตุความรุนแรงหรือก่อให้เกิดการบาดเจ็บไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงหรือการบาดเจ็บนั้นๆ แต่กลับเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่ก่อความรุนแรงหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้น ดังนั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นทั้งผู้ก่อเหตุและเหยื่อในเวลาเดียวกัน ในกรณีดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายอาจกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งและยื่นคำร้องเรียน ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต่าง "กล่าวโทษซึ่งกันและกัน"
การแจ้งความ
คำจำกัดความของการแจ้งความ
- “การแจ้งความ” หมายถึง การกระทำของบุคคลที่ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องรายงานการกระทำผิดทางอาญาต่อหน่วยงานสอบสวน เพื่อแสดงเจตจำนงในการแจ้งข้อกล่าวหา บุคคลใดก็ตามที่สงสัยว่า มีบุคคลอื่นก่ออาชญากรรม ย่อมมีสิทธิที่จะแจ้งความ (มาตรา 234 วรรค 1 และข้อมูลศัพท์ทางกฎหมายและคดีที่รวบรวมมา「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
- อย่างไรก็ตาม บุคคลนั้นห้ามแจ้งความบุพการีของตนเองหรือคู่สมรสของเขา/เธอ (มาตรา 235 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
วิธีแจ้งความ
- บุคคลแจ้งความได้ โดยการยื่นร่างคำฟ้องต่อพนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี หรือเอ่ยโดยวาจาต่อหน้าอัยการหรือเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี ในกรณีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีจะตรวจสอบร่างคำฟ้องทันที และส่งเอกสารกับหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังพนักงานอัยการ (มาตรา 237 วรรค 1 และมาตรา 238 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
ข้อควรระวังในการยื่นเรื่องร้องทุกข์และแจ้งความ
การกล่าวหาอันเป็นเท็จ
- คำจำกัดความของการกล่าวหาอันเป็นเท็จ
· “การกล่าวหาอันเป็นเท็จ” หมายถึง การที่บุคคลกล่าวหาบุคคลอื่นอย่างเป็นเท็จต่อองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับโทษทางอาญาหรือโทษทางวินัย (ศัพท์ทางกฎหมายและคดีต่างๆ ที่รวบรวมโดยMinistry of Government Legislation และสถาบันวิจัยกฎหมายแห่งเกาหลี, 2003)
· จะไม่มีการสอบสวนเกี่ยวกับขั้นตอนการรายงานข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ เนื่องจากการกล่าวหาอันเป็นเท็จมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อชักจูงให้ผู้รายงานเชื่อว่าได้บอกความจริงด้วยความตั้งใจของเขา/เธอเอง
- บทลงโทษของการกล่าวหาอันเป็นเท็จ ฯลฯ
· ในกรณีที่บุคคลหนึ่งกล่าวหาบุคคลอื่นอย่างเป็นเท็จต่อองค์กรของภาครัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับโทษทางอาญาหรือการลงโทษทางวินัย ในกรณีนี้ บุคคลนั้นจะถูกตัดสินจำคุกไม่เกินสิบปีหรือปรับไม่เกิน15 ล้านวอน (มาตรา 156 「ของพระราชบัญญัติอาญา」)
· ในกรณีที่บุคคลหนึ่งกล่าวหาอันเป็นเท็จว่า บุคคลอื่นได้ก่ออาชญากรรมตามที่ระ「บุไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเพิ่มบทลงโทษ ฯลฯ ของอาชญากรรมเฉพาะ」 ในกรณีนี้ ผู้รายงานจะถูกตัดสินจำคุกไม่เกินสามปีในระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน (มาตรา 14 「ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเพิ่มบทลงโทษ ฯลฯ ของอาชญากรรมเฉพาะ」)
· อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลซึ่งกล่าวหาบุคคลอื่นอย่างเป็นเท็จ สมัครใจที่จะยอมมอบตัวหรือสารภาพผิดเอง ก่อนที่จะมีการยืนยันคำตัดสินของศาลหรือลงโทษทางวินัย ในกรณีนี้ โทษของบุคคลดังกล่าวอาจถูกลดหย่อนหรือได้รับการยกเว้น (มาตรา 157 「ของพระราชบัญญัติอาญา」)
การยกเลิกการประกาศเจตจำนงในการลงโทษ
- สำหรับคดีที่เหยื่อแสดงเจตจำนงที่จะไม่ลงโทษผู้ก่อเหตุ เช่น คดีอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรงทั่วไปและอาชญากรรมความรุนแรงต่อบุพการี เป็นต้น เหยื่ออาจประกาศเจตนาที่จะงดโทษ ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะถูกพิพากษาในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ เมื่อเหยื่อเพิกถอนความตั้งใจในการลงโทษ เขา/เธอจะไม่ฟ้องคดีอีก (มาตรา 232 วรรค 3 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
※ ด้วยเจตจำนงของเหยื่อ อำนาจการลงโทษของรัฐอาจนำมาใช้ลงโทษหรือไม่ลงโทษก็ได้ สำหรับคดีอาชญากรรมที่ไม่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากมีผู้คัดค้าน รวมถึงคดีอาชญากรรมที่เหยื่อมีการร้องเรียน อย่างไรก็ตาม สำหรับความผิดทางอาญาที่ไม่ใช่การยื่นฟ้องเพราะถูกคัดค้านนั้น อาจมีการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลในขั้นที่สูงขึ้นได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้อง ซึ่งในประเด็นนี้จะแตกต่างจากคดีอาญาที่เหยื่อร้องเรียนด้วยตนเอง