การเริ่มต้นการสืบสวน
การเริ่มต้นการสืบสวน
- เงื่อนไขที่ทำให้มีการเริ่มการสืบสวนคือ การร้องทุกข์กล่าวโทษ (มาตรา 223 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」), การแจ้งข้อหา (มาตรา 234 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」), การมอบตัว (มาตรา 240 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」), รายงาน (มาตรา 47 「ของกฎการสืบสวนทางอาญา」) และการชี้ตัว (มาตรา 18 「ของกฎการสืบสวนของตำรวจ」)
- หากพิจารณาว่าบุคคลใดมีความผิด อัยการจะสอบสวนบุคคลนั้นและพิจารณาข้อมูลและหลักฐานทางอาญา (มาตรา 196 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
※ “เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดี” หมายถึง รองผู้ช่วยผู้บัญชาการ, ผู้กำกับการอาวุโส, หัวหน้าผู้กำกับการ และนายร้อยตำรวจ “ผู้ช่วยตำรวจฝ่ายคดี” หมายถึงสิบตำรวจเอก, สิบตำรวจโทและนายตำรวจ (มาตรา 197 วรรค 1 และ 2 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
การจับกุมและการกักขังผู้ต้องสงสัย
การจับกุมผู้ต้องสงสัย
- ในกรณีที่พนักงานอัยการมีเหตุผลอันสมควรที่จะสงสัยบุคคลที่ก่ออาชญากรรม และผู้ต้องสงสัยปฏิเสธหรืออาจปฏิเสธที่จะเข้ามารายงานตัวตามที่หน่วยงานสอบสวนร้องขอโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ในกรณีนี้ พนักงานอัยการอาจขอให้ผู้พิพากษาของสำนักงานเขตที่มีอำนาจ ออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องสงสัยด้วยหมายจับนั้น (มาตรา 200-2 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
- ในการจับกุมผู้ต้องสงสัย เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีอาจขอให้พนักงานอัยการร้องขอให้ผู้พิพากษาประจำสำนักงานเขตที่มีอำนาจดำเนินการออกหมายจับได้ (มาตรา 200-2 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
การจำคุกผู้ต้องสงสัย
- ในกรณีที่อัยการมีเหตุผลอันสมควรที่จะสงสัยว่าบุคคลนั้นได้ก่ออาชญากรรม และผู้ต้องสงสัยเข้าข่ายในกรณีใดๆ ต่อไปนี้ ในกรณีดังกล่าว พนักงานอัยการอาจขอให้ผู้พิพากษาของสำนักงานเขตที่มีอำนาจ ออกหมายจับและจำคุกผู้ต้องสงสัย (มาตรา 201 วรรค 1 และมาตรา 70 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
· หากจำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
· หากจำเลยอาจทำลายหลักฐาน
· หากจำเลยพยายามหลบหนีหรืออาจพยายามหลบหนี
- ในการจำคุกผู้ต้องสงสัย เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีอาจขอให้พนักงานอัยการร้องขอให้ผู้พิพากษาสำนักงานเขตที่มีอำนาจเป็นผู้ออกหมายจับได้ (มาตรา 201 วรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
คดีที่ส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการ
คดีที่ส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการ
- ในกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีดำเนินการสอบสวนคดีอาญาที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ แจ้งความหรือมีรายงานเข้ามา และเห็นว่าผู้ต้องสงสัยอาจกระทำผิดจริง ในกรณีนี้ ให้เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายคดีส่งเรื่องต่อไปยังพนักงานอัยการทันที พร้อมเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 245-5 อนุวรรค 1 「ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
การยื่นฟ้องต่อศาลชั้นที่สูงขึ้นไป
การยื่นฟ้องต่อศาลชั้นที่สูงขึ้นไป
- อัยการยื่นคำฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลหลังจากตัดสินว่า คดีดังกล่าวสามารถฟ้องร้องได้ การยื่นฟ้องคดีทำให้กระบวนการสอบสวนสิ้นสุดลง (มาตรา 246 และ 254 「แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」)
※ อย่างไรก็ตาม ให้ตีความว่า อายุความในการยื่นฟ้องดำเนินคดีโดยภาครัฐได้สิ้นสุดลงไปด้วยตามมาตรา 249 ของ「พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา」 ในกรณีนี้ จะไม่มีการลงโทษใดๆ เนื่องจากสิทธิในการดำเนินคดีของรัฐถูกระงับไปแล้ว
การปกป้องสังคมจากความรุนแรงของผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา
กฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับความรุนแรงของผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา
- ประเทศเกาหลีมีธรรมเนียมที่จะผ่อนปรนต่อคดีที่ผู้ก่อเหตุอยู่ในสภาวะมึนเมา ดังนั้น ในแง่กฎหมายแล้วจะตีความว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ก่อเหตุมึนเมานั้นนับเป็นความผิดพลาดที่ควรได้รับการให้อภัย มาตรการดังกล่าวทำให้สถานการณ์ความรุนแรงจากคดีที่ผู้ก่อเหตุอยู่ในสภาวะมึนเมาเลวร้ายยิ่งขึ้น และขยายขอบเขตของความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงประกาศว่า จะเน้นไปที่ “การปกป้องสังคมจากความรุนแรงของผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา” เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากความรุนแรงในชีวิตประจำวัน แนวทางดังกล่าวจะช่วยจัดการกับคดีความรุนแรงหลักๆ ห้าประเภท (ความรุนแรงแบบกลุ่ม, ความรุนแรงจากผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา, การขู่กรรโชก, การล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงในโรงเรียน) ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายนถึง 31 ตุลาคม ค.ศ.2012
คำจำกัดความของความรุนแรงในสภาวะมึนเมา
- คำว่า “ความรุนแรงในสภาวะมึนเมา” เป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนเอาไว้กับสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของเกาหลี (หมายเลขทะเบียน: 40090705400000) โดยผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรจังหวัดชุงบุก คำคำนี้หมายถึง คนเมาที่ข่มขู่และใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนบ้านผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยหรือทำงานในย่านการค้า
องค์กรของหน่วยควบคุมความรุนแรงโดยผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา
- ตามสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 843 นายสังกัดอยู่ในทีมสืบสวน 182 ทีมซึ่งมีหน้าที่ดูแลด้านการใช้ความรุนแรงจากผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมาโดยเฉพาะ โดยประจำอยู่ที่สถานีตำรวจ 249 แห่งทั่วประเทศ
สาเหตุที่ต้องเพิ่มกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับความรุนแรงจากผู้ก่อเหตุที่อยู่ในสภาวะมึนเมา
- เหตุผลหลักที่ต้องเพิ่มความเข้มงวดกับการใช้กฎเกณฑ์สำหรับความรุนแรงในสภาวะมึนเมา เป็นเพราะการที่ต้องสูญเสียต้นทุนทางสังคมถึง 8.8 ล้านล้านวอนต่อปีไปอย่างสูญเปล่า นอกจากนี้ คนเมามักใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นตามสวนสาธารณะในเมือง เนินเขา และสถานที่ต่างๆ ที่พวกเขามักเดินทางไปในชีวิตประจำวัน อีกทั้งทัศนคติที่ผ่อนปรนของสังคมต่อการดื่มและการใช้ความรุนแรงในภาวะมึนเมาบ่อยครั้ง ยังแทรกแซงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมากและก่อให้เกิดอาชญากรที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
หลักการของบทลงโทษสำหรับความรุนแรงในสภาวะมึนเมา
- บทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทลงโทษสำหรับความรุนแรงขณะมึนเมา
· ตาม「พระราชบัญญัติอาญา」 บุคคลที่เมาแล้วกระทำความผิดใดๆ ดังต่อไปนี้ จะต้องถูกลงโทษ: อาชญากรรมความรุนแรง, ความรุนแรงต่อบุพการี, ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ, ความรุนแรงแบบพิเศษที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ, ความรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิต, ความรุนแรงแบบพิเศษที่ทำให้เสียชีวิต, ความรุนแรงที่ทำให้บุพการีเสียชีวิต, ความรุนแรงที่กระทำจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงที่กระทำต่อบุพการีจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงแบบพิเศษ, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำต่อบุพการี ฯลฯ
· ตาม「พระราชบัญญัติบทลงโทษว่าด้วยความรุนแรง ฯลฯ」 บุคคลที่ก่ออาชญากรรมใดๆ ต่อไปนี้ในขณะที่มึนเมาจะถูกลงโทษด้วยระวางโทษซึ่งหนักกว่าที่กำหนดไว้ภายใต้「พระราชบัญญัติอาญา」: การก่อความรุนแรงร่วมกัน, การก่อความรุนแรงร่วมกันต่อบุพการี, ความรุนแรงที่กระทำจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงที่กระทำต่อบุพการีจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า, ความรุนแรงที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อบุพการี, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงแบบพิเศษ, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำต่อบุพการี, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำต่อบุพการีจนติดเป็นนิสัย, ความรุนแรงแบบพิเศษที่กระทำต่อบุพการีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฯลฯ
· 「ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเพิ่มบทลงโทษ ฯลฯ ของอาชญากรรมเฉพาะ」 บุคคลที่ก่ออาชญากรรมใดๆ ต่อไปนี้ในขณะที่มึนเมา จะถูกลงโทษด้วยโทษที่หนักกว่าที่กำหนดไว้ภายใต้「พระราชบัญญัติอาญา」: ความรุนแรงเพื่อการแก้แค้น, ความรุนแรงต่อผู้ขับขี่, ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บแก่ผู้ขับขี่, ความรุนแรงที่ทำให้ผู้ขับขี่เสียชีวิต, ความรุนแรงเพื่อการแก้แค้นที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิต เป็นต้น
· ในกรณีที่จำเลยจงใจก่อความรุนแรงขณะมึนเมา, มีการวางแผนที่จะใช้ความรุนแรง หรือตั้งใจทำให้ตนเองเมาหรือเสพยาเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษหลังจากก่ออาชญากรรม ในกรณีนี้ จำเลยจะถูกลงโทษด้วยระวางโทษที่รุนแรงขึ้น ไม่ว่าเขา/เธอจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่ก็ตาม
· แม้ว่าอาชญากรจะไม่ตกอยู่ในสภาพดังกรณีข้างต้น บทลงโทษก็จะไม่ลดลง หากเขา/เธอมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนขณะก่ออาชญากรรม
การช่วยเหลืออาชญากรให้กลับคืนสู่สังคม
- ในช่วงที่มีการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเน้นไปที่การคาดโทษกับคนเมาที่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นในสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ในชุมชนเป็นหลัก เช่น ย่านศูนย์การค้าขนาดเล็ก ห้องฉุกเฉิน เป็นต้น นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่ละแห่งยังมีแผนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับโรงพยาบาลในท้องที่ เพื่อให้ผู้ติดสุราเรื้อรังได้เข้ารับคำปรึกษาเรื่องอาการติดสุราและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกด้วย ความพยายามข้างต้นมุ่งเป้าไปที่การให้ความช่วยเหลือผู้ที่เคยก่อความรุนแรงในขณะมึนเมาได้กลับคืนสู่สังคม
· สำนักงานตำรวจนครบาลกรุงโซลจะลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสมาคมโรงพยาบาลกรุงโซล เพื่อจัดให้มีบริการสายด่วนร่วมกับสถาบันต่างๆ ที่อยู่ในกรุงโซล นอกจากนี้ยังจะแบ่งปันข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น รายงานความเสียหายที่เกิดจากกลุ่มอันธพาล และกำหนดโรงพยาบาลที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่ราคาถูกกว่าแก่ผู้สมัครใจที่จะกลับคืนสู่สังคม
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประกาศว่า จะมอบเงินสนับสนุนสูงถึง 50 ล้านวอนเป็นรางวัลแก่ผู้ที่ให้ข้อมูลหรือแจ้งเบาะแส โดยจะเก็บข้อมูลรายงานทั้งหมดไว้เป็นความลับและให้ความคุ้มครองผู้ที่ให้ข้อมูลหรือแจ้งเบาะแสจากอันตรายต่างๆ อีกด้วย ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น แต่สื่อมวลชนและประชาชนก็ต้องสนับสนุนและให้ความร่วมมือเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ผู้คนใช้ความรุนแรงได้ในขณะมึนเมา